สมัครบัตรเครดิตผ่านเซลอิสระต้องระวัง อาจถึงขั้นต้องออกจากงาน
สมัครบัตรเครดิตผ่านเซลอิสระต้องระวัง อาจถึงขั้นต้องออกจากงาน
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากคนใกล้ชิด ซึ่งสุดท้ายก็ต้องออกจากงานเพราะเหตุการสมัครบัตรเครดิตผ่านเซลอิสระ จึงขอนำมาเล่าให้ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์กันนะครับ
โดยปกติแล้วหากเราสมัครสินเชื่อหรือบัตรเครดิตกับธนาคารหรือบริษัทไฟแนนซ์โดยตรง ก็มักจะไม่ค่อยมีประเด็นปัญหาเท่าไหร่ แต่หากมีการสมัครผ่านเซลอิสระ เราอาจจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจจะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดได้
ก่อนอื่นเราควรจะมารู้จักพนักงานขายอิสระกันก่อนว่า เขาเป็นลูกจ้างใคร และมีหน้าที่อะไรบ้าง ผลตอบแทนที่เขาได้เป็นอย่างไร
โดยปกติแล้วการหาลูกค้าสินเชื่อหรือบัตรเครดิตนั้น จะผ่านการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ แล้วให้ลูกค้าเข้าไปติดต่อกับสถาบันการเงินโดยตรง แต่ยังมีอีกช่องทางหนึ่งก็คือ จะมีบริษัทนายหน้า หรือโบรกเกอร์ต่างๆ ที่รับบริการทุกอย่างเช่น ทำ พรบ. ทำประกัน รับทำสินเชื่อต่างๆเป็นต้น
บริษัทนายหน้าเหล่านี้แหละครับที่จะมีพนักงานขายอิสระอยู่ในสังกัด ทำหน้าที่ตั้งบูท แจกใบปลิว เชิญชวนหาลูกค้าตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านชุมชน ซึ่งจะไม่ใช่พนักงานของธนาคารหรือสถาบันการเงินแต่อย่างใด
เซลเหล่านี้หารายได้เข้าบริษัท ผ่านการส่งใบสมัครและเอกสารต่างๆเข้าไปยังสถาบันการเงิน แล้วพนักงานเหล่านี้ก็จะได้รายได้หรือ commission จากยอดใบสมัครที่ผ่านการอนุมัติจากสถาบันการเงินที่บริษัทตัวเองทำสัญญาอยู่
รายได้โดยเฉลี่ยอาจจะประมาณ 500 – 1,500 บาท ต่อใบสมัครที่ได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งหน้าที่ของเซลเหล่านี้ก็แค่หาลูกค้า รวบรวมเอกสาร แล้วส่งให้สถาบันการเงินเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกันการอนุมัติ การรับชำระหนี้ของลูกค้าแต่อย่างใด
สรุปง่ายๆ ยิ่งหาลูกค้าที่ผ่านการอนุมัติได้มากราย ตัวเองก็จะมีรายได้มากขึ้นเท่านั้น หน้าที่ตัวเองจบแค่นั้น เพราะส่งลูกค้ารายนั้นให้กับสถาบันการเงินไปแล้ว
ปัญหามันก็เลยเกิดขึ้นกับพนักงานขายอิสระบางราย ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ยอดลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติให้ได้มากที่สุด โดยที่บางครั้งตัวลูกค้าเองไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จนสุดท้ายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนถึงขั้นต้องออกจากงานไปก็มี
สำหรับกรณีของคนใกล้ชิดรายนี้ ก็มาในแนวทางคลาสสิคมากๆ คือมีพนักงานขายอิสระมาขอร้องให้ช่วยทำบัตรเครดิตทำยอดให้หน่อย แล้วขอเอกสารส่วนตัวไป แล้วบอกลูกค้าว่าแค่รอรับบัตรแล้วไปรูดบัตรสักครั้งนึงแล้วก็ทิ้งไปเลยก็ได้
แน่นอนว่าตัวลูกค้าเองไม่รู้หรอกว่าเงื่อนไขการสมัครจะเป็นอะไรอย่างไรบ้าง แต่พนักงานขายย่อมรู้ดีและพยายามทุกวิถีทางในการให้การสมัครครั้งนั้นสมัครผ่าน
ตามกฏของธนาคารแห่งประเทศไทย การสมัครบัตรเครดิตได้จะต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ราวๆ 15,000 บาท (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้จริงๆแล้วเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับประกาศของ ธปท. ในช่วงนั้นๆ)
คราวนี้ลูกค้ารายนี้เงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์ พนักงานขายรายนั้นก็เลยทำการปลอมแปลง สลิปเงินเดือนขึ้นมา โดยที่ตัวลูกค้าเองไม่รู้ เมื่อพนักงานขายนำส่งเอกสารไปยังสถาบันการเงิน ทาง จนท. ของสถาบันการเงินก็อาจมีการสุ่มตรวจ โทรไปยังสถานที่ทำงานของลูกค้ารายนี้
ผลก็คือฝ่ายบุคคลรับรู้ว่ามีการปลอมสลิปเงินเดือน โดยทางสถาบันการเงินถ่ายภาพสลิปส่งกลับไปให้ฝ่ายบุคคลไว้เป็นหลักฐาน
จึงกลายเป็นประเด็นว่า ลูกค้ารายนี้โดนที่ทำงานตรวจสอบและกล่าวหาว่า ปลอมเอกสารสลิปเงินเดือน ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่ทำปลอมขึ้นมาไม่ใช่ตัวเอง แต่จะติตต่อให้คนทำผิดมารับสารภาพก็คงมีแต่ในนิยายละครับ เซลคนดังกล่าวก็หายเข้ากลีบเมฆไป
คนใกล้ชิดรายนี้ถึงจะบอกที่ทำงานว่าตัวเองไม่ได้ทำ แล้วใครจะเชื่อหละครับ เพราะจับมือคนทำคงไม่ได้ ผู้เสียหายจริงๆแล้วก็ไม่ใช่นายจ้าง แต่เป็นตัวคนขอสมัครสินเชื่อเอง จะไปแจ้งความก็ไม่รู้จักชื่อเพราะเขามาหาลูกค้าเอง ที่อยู่ของเซลก็ไม่มี เอกสารหลักฐานเกี่ยวกับบุคคลนี้ไม่มีเลย
สุดท้ายเพื่อยุติปัญหา เนื่องจากโดนกดดัน และทางนายจ้างมีแผนต้องการลดคนอยู่แล้ว จึงต้องจบด้วยการลาออกละครับ
ดังนั้นจึงขอสรุปว่า การจะสมัครสินเชื่อ หรือบัตรเครดิตผ่านเซลอิสระ อย่าลืมว่าเขามีเอกสารสำคัญของเรา เราก็ควรจะขอเอกสารสำคัญของเขาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น สำเนาบัตรประชาชนของเขา หรือสำเนาทะเบียนบ้านเขาไว้ด้วย โดยให้เหตุผลว่าถ้ามีปัญหาในอนาคตจะได้ติดต่อกันได้ ถ้าเขาไม่ให้เรา เราก็ไม่ต้องให้เอกสารของเราไป ก็แค่นั้น
Leave a comment
You must be logged in to post a comment.