คลิ้กเลย!! เทพแห่งเงินด่วน โทร 0928840418 <- จิ้มที่ตัวเลขแล้วกดโทรเลย

News Ticker

จ่ายหนี้คืน 1.2 ล้าน และเก็บเงินไปด้วยในระยะเวลาน้อยกว่า 2 ปี เราทำได้อย่างไร

จ่ายหนี้คืน 1.2 ล้าน และเก็บเงินไปด้วยในระยะเวลาน้อยกว่า 2 ปี เราทำได้อย่างไร

วันนี้เรามาฟังเรื่องราวของคนเคยเป็นหนี้ ที่สามารถชำระหนี้เงินล้านคืนได้ภายในระยะเวลาต่ำกว่า 2 ปีกันนะครับ โดยเรื่องราวที่เรานำมาเล่าให้ฟังกันนี้เป็นเรื่องจริง แต่ขอสงวนชื่อและนามสกุลบุคคลเหล่านี้ไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว

หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้จะจุดประกายแนวคิด และเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่กำลังจมอยู่กับหนี้ทั้งหลายให้หันมาหาหนทางเปลี้องหนี้ให้หมดโดยเร็ว เพื่ออิสระภาพแห่งชีวิต ลดความเครียด และการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป

ว่าแล้วเราก็มาฟังเรื่องราวกันเลยนะครับ

เรื่องราวจากคุณตินา

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยหลังจากนั่งลงเขียนรายการต่างๆลงบนกระดาษอยู่ตรงหน้า ด้วยตัว 0 เป็นจำนวนมากที่อยู่หลังตัวเลขชุดหนึ่ง มันเป็นไปได้อย่างไรที่ฉันพอกพูนหนึ้ได้ขนาดนี้ โอเคฉันมีบัตรเครดิต แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นค่ายาและด้วยเหตุที่ตกงานกลางคัน

แต่ต่อมาก็มีรายการใช้จ่ายตามร้านอาหาร และเสื้อผ้าที่ไปเจอป้ายลดราคาเข้าให้ และเราก็ต้องไปเที่ยวพักผ่อนอีกจริงไหมหละ

เมื่อลองคิดย้อนกลับไป มีหลายครั้งที่ฉันแค่ยื่นบัตรให้เขารูดเพื่อซื้อสินค้าที่ตัวเองต้องการ และมันก็นำพาเราไปสู่สภาวะหนึ่งที่เรียกว่าหนี้ท่วมหัวนั่นเอง

แม้ว่าสัดส่วนหนี้หลักล้านส่วนหนึ่งนั้นจะเป็นการจับจ่ายไปในสิ่งที่จำเป็นก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายส่วนของหนี้ก้อนนั้นก็มาจากความหยากอีกด้วย หลังจากคุยกับสามีได้ซักพักเราเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาวะที่ต้องตกอยู่ในวังวนหนี้แบบนี้ เราเลยคิดที่จะควบคุมเรื่องการเงินของเราเสียที และเราจะทำมันให้ได้

ก่อนหน้านี้เราเคยเป็นหนี้เงินกู้ส่วนบุคคลมาก่อน แต่ตอนนั้นมีเราแค่เพียงสองคนเท่านั้นและเราได้จ่ายหนี้คืนไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้เรามีหนี้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าและมีลูกๆอีกด้วย ดังนั้นเราได้ตัดสินใจที่จะให้หลุดวังวนหนี้นี้ให้ได้ และอยากจะทิ้งมรดกอย่างอื่นให้ลูกๆแทนที่จะทิ้งหนี้เอาไว้ เราเลยสร้างแผนเป็นขั้นๆเพื่อไต่ไปสู่การเป็นอิสระจากหน้ ต่อไปนี้คือ 3 ขั้นตอนที่เราได้ทำลงไปเพื่อจะให้ได้ผลจริง

1.ตัดบัตรเครดิตทิ้ง

จากฐานข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าคนไทยเป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้บุคคลกันเป็นจำนวนมาก และตัวเลขการเป็นหนี้ของเรานั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก เราเลยรู้ว่าเราต้องทำอะไรแบบหักดิบมากๆมันถึงจะแก้ปัญหาได้

เนื่องจากเราพบว่าบัตรเครดิตเป็นบ่อเกิดของหนี้สินจำนวนมากให้กับเรา เพราะมันยืมเงินมาได้ง่ายๆแต่จะโดนอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก เราเลยตัดสินใจหยุดใช้มันดีกว่าด้วยการตัดบัตรเป็นสองส่วนแล้วใส่ลิ้นชักไว้ สรุปง่ายๆคือเลิกใช้บัตรเครดิต อย่าให้มันอยู่ในสภาพพร้อมใช้ เพราะมันจะทำให้เราไม่คิดหาวิธีอื่นในการหาเงิน

ถามว่ามันยากไหม ก็ต้องตอบว่าทำใจยากจริงๆ แต่จำเป็นต้องทำ

ถามว่าตัดบัตรไปแล้วยังมีความจำเป็นที่ต้องเอามันมาใช้อีกไหม ก็ต้องตอบว่าใช่เวลาลำบาก แต่การตัดบัตรไปช่วยได้มากเพราะอยากใช้แต่ใช้ไม่ได้

ผลจากการที่เราตัดบัตรและต้องการใช้เงิน เราต้องเผชิญกับอารมณ์รอบด้านเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาบัตรเครดิตเหมือนเป็นแหล่งพักพิง ถ้าฉันหิวฉันก็ใช้มันซื้ออาหาร ถ้าฉันเจอของลดราคาฉันก็ใช้มันซื้อ

ตอนมีบัตร แม้รู้ว่าไม่มีเงินสักบาทในบัญชีธนาคารฉันก็คิดว่ายังไงก็มีบัตรให้รูดอยู่ ดังนั้นการไม่ใช้บัตรทำให้เราต้องเลิกนิสัยเดิมๆ และพยายามหาวิธีสร้างนิสัยใหม่ๆที่ดีในการใช้เงิน

แทนที่เราจะไปเดินตามห้างดูโน่นนี่แล้วตัดสินใจซื้อของ กลายเป็นว่าเราต้องไปเดินตามสวนสาธารณะหรือสถานที่อื่นๆที่ไม่มีอะไรยั่วใจแทน และแทนที่จะไปหยุดพักผ่อนในสถานที่แพงๆ อยู่โรงแรมหรูๆ เราก็ต้องหาวิธีอื่นๆแทน

การหยุดใช้บัตรเครดิต ทำให้เรารับรู้สถานะการจับจ่ายของเรามากขึ้น มันทำให้เราคิดอย่างสร้างสรรมากขึ้นเมื่อต้องใช้เงิน และทำให้เราสามารถทำข้อต่อไปได้

2. วิเคราะห์รายจ่ายประจำเดือนของเรา

ผลที่ตามมาก็คือ มันทำให้เราหันกลับไปมองมองว่า ในแต่ละเดือนเราใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ค่าใช้จ่ายอันไหนที่สามารถลดลงไปได้หรือเลิกจ่ายไปเลย จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องจ่ายค่าสมาชิกทีวีดาวเทียม หันมาดูทีวีดิจิตอลผ่านกล่องก็พอไหม จำเป็นไหมที่จะต้องออกไปทำผมที่ร้านเสริมสวยทุกสัปดาห์ หรือจะไปหุ่นให้กับโรงเรียนสอนเสริมสวยแทน

จากการดูค่าใช้จ่ายรายเดือนของเรา ทำให้เราดูเห็นไม่เพียงแค่การใช้จ่ายเกินรายได้เท่านั้น แต่เรายังเห็นถึงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีกมาก เราเสียเงินไปกับการซื้อของเพราะเราซื้อได้ ไม่ใช่เพราะเราควรซื้อ เปลืองเงินมาก

เมื่อมองลึกลงไปถึงรายจ่ายต่างๆ เราพบถึงความเชื่อมโยงของอารมณ์กับการจับจ่ายไปด้วย นั่นคือฉันเรียนรู้ว่าฉันใช้จ่ายไม่ใช่ตอนที่ฉันเสียใจ อารมณ์ไม่ดี หรือตอนโกรธใคร แต่มักจะใช้จ่ายเวลาที่ฉันรู้สึกมีความสุข ตื่นเต้น หรือประสบความสำเร็จบางอย่าง

ฉันเริ่มเห็นถึงตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย และจะได้พยามแก้ปัญหามันให้ตรงจุด

หลังจากนั้น เราก็ลดรายจ่ายลงไปได้มากและเริ่มจะปรับปรุงนิสัยการจับจ่ายได้ดีขึ้นมาก แล้วเราก็พบว่าการจะหลุดพ้นจากหนี้ได้ไม่ใช่แค่การตัดบัตร ตัดรายจ่าย ลดการไปห้างเท่านั้น แต่เราต้องสร้างรายได้เพิ่มขึ้นด้วย

3. หางานที่มีรายได้ดีกว่าเดิม

ในกรณีของฉัน ฉันคงต้องหางานประจำทำ เพราะก่อนหน้านี้ฉันทำงานแบบพาร์ทไทม์อยู่ เนื่องจากต้องเลี้ยงลูกชาย 3 คน เลยต้องการความคล่องตัวนั่นเอง

แม้ว่างานพาร์ทไทม์จะทำให้การบริหารครอบครัวของเราเป็นไปด้วยดีก็ตาม แต่มันยังไม่เหมาะกับสภาวะทางการเงินของเราอยู่ดี

เราพบว่าวิธีที่จะหลุดจากวังวนหนี้ให้เร็วที่สุดก็คือการเลือกงานที่เหมาะสมในด้านการเงิน แทนที่จะเป็นเรื่องของเวลา ฉันเลยต้องทิ้งงานสบายๆเพื่อไปทำงานประจำในสภาวะที่ต้องถูกจำกัดเรื่องความคล่องตัวมากขึ้น จากงานที่ทำแบบสบายจนชิน ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพราะสภาวะทางการเงินที่รุมเร้ามันบังคับนั่นเอง

ดังนั้นฉันเลยต้องไปหางานประจำทำ เพิ่มรายได้ของตัวฉันเองขึ้นเป็นสองเท่าและพยายามหางานพิเศษมาทำเพื่อจะให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีก และสิ่งที่ฉันทำลำดับต่อไปก็คือการมุ่งไปสู่การปลอดหนี้ที่แท้จริง

จัดการหนี้สินทีละราย

แม้เราจะรู้ดีว่าตารางเวลาเราอาจจะไม่คล่องตัวเหมือนเก่า แต่เราก็มีเป้าหมายและเชื่อว่าถ้าเราทำงานหนักแค่ไม่กี่ปี เราก็จะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้นี้ได้ ดังนั้นแทนที่เราจะใช้จ่ายเงินที่ได้มาจากงานใหม่ที่เพิ่งหาได้ไปกับการใช้จ่าย เรากลับพยายามเอาเงินเหล่านั้นมาชำระหนี้ ด้วยการพยายามทำรายการต่างๆออกมาและจะกำจัดหนี้ไปทีละเจ้าให้ได้

ที่ปรึกษาทางการเงินบางคนอาจจะบอกว่า ให้เริ่มชำระหนี้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูงๆก่อนอย่างบัตรเครดิต แต่บางคนอาจจะบอกว่าให้จ่ายหนี้ที่มียอดน้อยๆก่อนจะได้หมดหนี้นั้นเร็วๆ

สำหรับเราแล้วขอแค่ให้ เริ่มชำระหนี้ แค่นั้นก็พอแล้ว เราเริ่มจากการจ่ายขั้นต่ำของหนี้ทุกตัวก่อน แล้วเงินที่เหลือเราก็โปะไปกับหนึ้ตัวเดียวเท่านั้น

สำหรับกรณีของฉัน ฉันเริ่มกับการจ่ายหนี้รถยนต์ของสามีฉัน หลังจากรถของสามีฉันก็มาเป็นรถฉัน หลังจากรถฉันก็จะเป็นบัตรเครดิตทีละใบ

หลังจากผ่านไป 21 เดือนของการหารายได้เพิ่ม และเริ่มชำระหนี้สินคืน เราได้จ่ายคืนหนี้ไปทั้งสิ้น 1,200,000 บาทโดยประมาณ ความรู้สึกเมื่อหนี้ก้อนสุดท้ายหายไปมันยอดเยี่ยมมาก เราสามารถพบเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้แล้ว

และเพื่อให้สถานะทางการเงินของเรามั่นคง ระหว่างที่เราจ่ายหนี้คืนอยู่นั้นเราก็ออมเงินเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้ด้วย

ออมเงินเผื่อฉุกเฉิน

การใช้บัตรเครดิตเพื่อรายจ่ายที่ไม่คาดคิด เช่นซ่อมรถยนค์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านพัง สิ่งเหล่านี้เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากนอกจากจะจ่ายค่าสินค้านั้นไปแล้ว เรายังต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกด้วย หากเรามีเงินสำรองไว้ จะทำให้ภาวะฉุกเฉินหายไป เราก็จะไม่ต้องเป็นหนี้ใคร

ดังนั้นในระหว่างการชำระหนี้คืนในแต่ละเดือนนั้น เราก็เอาเงินบางส่วนของเราไปฝากไว้ในบัญชีฉุกเฉินเอาไว้ เพราะเรารู้ดีกว่าเหตุไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะในอดีตเราเคยประสบมาแล้ว

แต่ครั้งนี้เราเตรียมตัวให้พร้อม ขั้นตอนนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามากเพราะมันลดความจำเป็นที่จะต้องหันไปพึ่งพาบัตรเครดิต หรือ เงินกู้อื่นใดอีก

แล้วคุณหละเริ่มต้นทำอะไรกับหนี้สินคุณบ้างหรือยัง?

Leave a comment