กับดักทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน
กับดักทางการเงินของมนุษย์เงินเดือน
ความฝันของมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่แล้วอยากจะทำงานประจำไปซักพัก เก็บเงินให้ได้ซักก้อนแล้วจะไปลงทุนทำกิจการของตัวเองเพราะเบื่อสภาพเจ้านายลูกน้อง เบื่อห้องประชุม โดนเจ้านายด่า ลูกน้องนินทา สารพัดเหตุผล แต่ก็ต้องยอมทนเพราะยังเก็บเงินไม่ได้ซักที
จะว่าไปแล้ว Comfort Zone ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนก็คือการที่มีรายได้ประจำทุกเดือนแม้จะขาดลามาสาย โดนดุโดนด่าอย่างไร สิ้นเดือนก็มีเงินโอนเข้าบัญชีดีไม่มีดีแถมค่าโอที หรือโบนัสสิ้นปีให้ชื่นใจ ว่าแล้วก็จะยอมทนเก็บเงินต่อไปเพื่อวันข้างหน้าจะได้เป็นเถ้าแก่สมใจ
แต่พอทำงานประจำไปได้ซักพัก ความอยากมีอยากได้ก็เริ่มเข้ามา พร้อมกับโอกาสทางการเงินต่างๆ นั่นเพราะสถาบันการเงินทั้งหลายต่างก็ประเคนสินเชื่อหลากหลายรูปแบบมาให้ได้เลือกใช้ ด้วยเพราะสถาบันการเงินต่างก็มองว่า มนุษย์เงินเดือนเหล่านี้มีความมั่นคงทางด้านการเงินกว่าบรรดาฟรีลานซ์หรือพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปอยู่หลายขุม อย่างไรเสียพอถึงสินเดือน มนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ก็ต้องมีรายได้เข้ามาเพียงพอต่อการชำระหนี้แน่นอน
เมื่อมาถึงจุดนี้ มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะเริ่มสร้างภาระหนี้สิน โดยมากจะเริ่มจากสินค้าราคาไม่สูงก่อน เช่นโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน ไอแพด ซึ่งจะเป็นการซื้อเงินผ่อนประมาณ 12 – 24 เดือน โดยพยายามมองว่าตัวเองยังจะทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างน้อยอีก 2 – 3 ปี จะเป็นไรไป ระหว่างนี้ก็จะเก็บเงินไปด้วย
ต่อมาก็เริ่มสร้างภาระหนี้กับทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้น เช่น รถยนต์ เป็นต้น ด้วยระยะเวลาการผ่อนที่อาจจะทอดยาว 4 – 6 ปี เพราะยังอุ่นใจว่าตัวเองเพิ่งเริ่มทำงานควรจะมีรถยนต์ไว้อำนวยความสะดวก ระหว่าง 4 ถึง 5 ปีนี้ก็จะเก็บเงินไปด้วย ผ่อนหมดคงจะมีเงินก้อนพร้อมกับรถยนต์ไว้เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเสียที
ระหว่างนั้นผ่านไป 2 – 3 ปี ก็อาจจะเริ่มมีความคิดว่าจะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ดีกว่าเช่าเขาอยู่ เนื่องจากรู้สึกว่างานการเริ่มมั่นคง เงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็เริ่มเก็บเงินดาวน์บ้านเมื่อรวมกับเงินที่เก็บไว้บ้างแล้วเล็กน้อยก็น่าจะพอดาวน์บ้านได้
บางคนอาจจะรอจนผ่อนรถยนต์หมดแล้วจึงเริ่มซื้อบ้าน แต่บางคนเมื่อเห็นว่าเหลืออีกเพียงปีกว่าๆ ที่จะผ่อนรถยนต์หมดก็อาจจะเริ่มขอสินเชื่อซื้อบ้านกันไปเลย
มาถึงจุดนี้ก็จะเป็นหนี้ระยะยาวทันที 20 – 30 ปี กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น การที่จะลาออกจากงานมาบุกเบิกธุรกิจของตัวเองเต็มตัวนั้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนนั้นสูงมาก จะมานั่งหวังเก็บเงินวันละนิดหน่อยจากการขายของคงเครียดน่าดู ส่วนใหญ่ก็ล้มเลิกที่จะคิดสร้างกิจการของตัวเอง และตัดสินใจคงสถานะเป็นมนุษย์เงินเดือนตลอดไป ถึงเวลาก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ ทั้งเพื่อความก้าวหน้าในสายงานรวมไปถึงการไต่อัตราเงินเดือนไปเรื่อยๆ
การเป็นมนุษย์เงินเดือนในลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป อยากจะเปลี่ยนงาน อยากจะลาออกเมื่อไหร่ ก็ทำได้เสมอ ตราบเท่าที่จะสามารถหางานใหม่มารองรับได้อย่างต่อเนื่อง หรือบางคนระหว่างเปลี่ยนงานก็ถือโอกาสหยุดพักผ่อนไปเดือนหรือสองเดือนก่อนที่จะเริ่มหางานใหม่เนื่องจากพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง และมองว่าด้วยคุณสมบัติและความสามารถของตัวเองคงจะหางานใหม่ได้ไม่ยาก
แต่คนที่ต้องติดอยู่กับ กับดัก ของชีวิตมนุษย์เงินเดือน ก็คือคนที่เมื่อเริ่มสร้างหนี้แล้วเริ่มเสพติดการเป็นหนี้ด้วยการเอาเงินในอนาคตมาใช้ จนเริ่มลามมาถึงเงินกู้สหกรณ์ของที่ทำงาน หรือเงินกู้ของบริษัทที่เปิดให้พนักงานกู้เงินเหล่านี้ได้แล้วหักเงินเดือนพนักงานไป
ที่กล่าวว่าเป็นกับดัก นั่นเพราะว่า หากลูกจ้างต้องการลาออกจากงาน ก็ต้องนำเงินก้อนมาชำระหนี้คงค้างอยู่กับสหกรณ์หรือบริษัทให้หมดสิ้นก่อนถึงจะอนุมัติให้ลาออกได้ การออกไปดื้อๆ โดยปิดหนี้แล้วไม่ได้รับการลาออก บริษัทอาจถือเป็นความผิดเนื่องจากการขาดงาน อาจโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาจากลูกจ้างได้ ซึ่งจะกลายเป็น blacklist ติดตัวไปตลอด โดยหากเป็นบริษัทใหญ่อาจจะถึงขั้นสมัครงานใหม่กับบริษัทในเครืออื่นๆได้เลย
ยิ่งหากเป็นงานราชการหรือพนักงานของรัฐ การออกจากงานโดยไม่ได้รับอนุมัติอาจถูกตั้งกรรมการสอบสวนมีโทษไล่ออก ถึงขั้นหมดโอกาสในการที่จะเข้าไปรับราชการอีกในอนาคตกันไปเลย
ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดนี้ มนุษย์เงินเดือนกลุ่มนี้ ก็จะโดนกับดักทางการเงิน ผูกติดเขาไว้กับบริษัทนั้นๆตลอดไป บางคนอาจจะผูกติดอยู่กับตำแหน่งเดิม ไม่มีความก้าวหน้า หมดอำนาจต่อรอง เพราะผู้บริหารมองว่าลูกจ้างรายนี้มีหนี้สินเกับบริษัทเยอะ ยังไงก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว จนสุดท้ายต้องเกษียณไปกับบริษัทแห่งนี้ พร้อมๆกับโอกาสในการหลุดพ้นจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่หายไปตั้งแต่ตัวเองเริ่มคิดเป็นหนี้ครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านั้น นั่นเอง
Leave a comment
You must be logged in to post a comment.