คลิ้กเลย!! เทพแห่งเงินด่วน โทร 0928840418 <- จิ้มที่ตัวเลขแล้วกดโทรเลย

News Ticker

เบื้องลึก BitCoin ทำไม CryptoCurrency ถึงได้รับความนิยมสูง

เบื้องลึก BitCoin ทำไม CryptoCurrency ถึงได้รับความนิยมสูง

ถึงตอนนี้เชื่อว่าคนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับคำว่า CryptoCurrency (คริปโตเคอร์เร็นซี่) กับชื่อภาษาไทยว่าสกุลเงินดิจิตอล ซึ่งชื่อที่เราคุ้นเคยอย่าง BitCoin นั้นถือเป็นเงินสกุลดิจิตอลแรกๆที่เริ่มมีการใช้งานกัน

ผู้เขียนเองเคยเข้าไปลองเล่นกับ BitCoin หรือสกุลเงินดิจิตอล ทั้งเคยวาง Server เพื่อขุดเงินดิจิตอล (Mining) มาแล้ว และพบว่าคงไม่ใช่ทางของตัวเอง เพราะพอศึกษาเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไรก็ถอยมาดูห่างๆ และเป็นผู้รอใช้เทคโนโลยีดีกว่า

มาถึงตอนนี้เลยอยากจะเขียนเล่าว่า เหตุใดสกุลเงินดิจิตอลถึงได้รับความนิยมมากในต่างปรเทศ โดยหลายๆประเทศให้การรับรอง บางประเทศสั่งแบน ส่วนประเทศไทยเราล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งห้ามธนาคารพาณิชย์ไปยุ่งเกี่ยวกับการทำธุรกรรมใดๆที่เกี่ยวข้องกับ CryptoCurrency กันเลยทีเดียว

สกุลเงินดิจิตอล เริ่มมาจากธุรกิจผิดกฏหมาย

ทำไมแอดมินกล้าจั่วหัวข้อแบบนี้ นั้่นเพราะได้เคยเข้าไปใช้สกุลเงิน Electronic Currency มาก่อนเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ เพราะ Paypal ในยุคนั้นใช้งานยาก ค่าธรรมเนียมสูง โดยในยุคนั้นเป็นยุคทองของ E-gold ซึ่งเป็น Electronic Currency ที่อาศัยการอ้างอิงราคาทองคำเป็นหลัก

สมาชิกที่เปิดบัญชีจะมีตัวเลขบัญชีที่อ้างอิงน้ำหนักของทองคำ ไม่ใช่สกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง เวลาต้องการเปลี่ยนเป็นเงิน USD ก็อาศัยราคาทองคำ ณ​ ตอนนั้นเป็นตัวแลกเปลี่ยน หรือจะเป็นสกุลเงินอื่นๆก็เช่นเดียวกัน บางคนก็เลยอาศัยการเก็งกำไร คือซื้อเงิน e-gold ตอนราคาทองคำตกต่ำ แล้วขายกลับเป็นเงินคืนตอนราคาทองสูงขึ้น

สมาชิกส่งเงินหากันได้โดยอาศัยการส่งน้ำหนักทองที่ตีมูลค่ากลับเทียบเท่าสกุลเงินที่ต้องการได้ ซึ่งผู้ก่อตั้งมองว่าการไม่อ้างอิงสกุลเงินใดๆนั้น จะทำให้ระบบสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศใดๆที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่คงที่ อาศัยการอ้างอิงทองเป็นหลักทำให้หลุดพ้นจากการทึ่จะถูกรัฐบาลแทรกแซง

ผลก็คือ Electronic Currency ตัวนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ในหมู่ธุรกิจผิดกฏหมายข้ามชาติ ทั้งบรรดาแชร์ลูกโซ่ทั้งหลาย หรือการหลอกโอนเงิน เหมือนแก้งค์คอลเซ็นเตอร์แบบที่เราเจอกันอยู่ในปัจจุบัน

จุดเด่นของ E-gold ก็คือ การไม่ต้องระบุตัวตนในการเปิดบัญชี ใครๆก็เปิดบัญชีได้ จะกี่บัญชีก็ได้ โอนเงินไปมาโดยไม่ต้องกลัวว่าใตรจะติดตามได้ ทำให้บางครั้งการสืบสวนแก้งค์อาชญากรรมข้ามชาติด้วยการติดตามเส้นทางการเงิน จนมาจบที่ผู้รับแลกเงินสดเป็น e-gold แล้วโอน e-gold ไปให้ใครก็ไม่รู้ ทำให้ตามต่อไม่ได้

หน่วยงาน FBI ติดตามพฤติกรรมกันอยู่นาน จนพบว่าคนที่เป็นเจ้าของ หรือมีส่วนร่วมในนั้นเป็นคนสัญชาติอเมริกัน แม้ Server ของระบบจะอยู่ในประเทศแบบนอกชายฝั่ง (off-shore) หรือประเทศที่ไม่มีพันธะสัญญาใดๆกับอเมริกา แต่สุดท้ายก็ถูก FBI สั่งปิดกิจการอยู่ระยะหนึ่ง และสุดท้ายก็บังคับให้ทาง e-gold ต้องระบุตัวตนเจ้าของบัญชี ตามกฏหมายใหม่ที่ออกมาที่เกี่ยวข้องกับ กฏหมายการโอนเงินทางอิเลกทรอนิคส์

ตอนนั้นทาง e-gold ก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี บัญชีผิดกฏหมายหลายรายถูกยึดและแลกเปลี่ยนกับเป็นเงินสดจำนวนหลายล้านเหรียญ บรรดาอาชญากรรมข้ามชาติก็เริ่มมองหาแหล่งอื่นในการใช้งานแทน e-gold เพราะมองว่า e-gold หนะจบแล้ว และสุดท้ายเว็บ e-gold ก็ปิดตัวเองไปเมื่อปี 2015 นี่เอง เพราะไม่มีใครใช้งาน e-gold อีกแล้ว

Liberty Reserve ก่อกำเนิดมาจากฝั่ง Russia

เมื่อบรรดาผู้ใช้งานเห็นว่า E-gold ไม่รอด กลุ่มแก้งค์ที่ต้องการโอนเงินผิดกฏหมายข้ามชาติก็ต้องหาวิธีอื่น เพราะการใช้ระบบธนาคารปกตินั้นต้องมีการยืนยันตัวตนตามกฏหมายของประเทศนั้นๆ กลุ่มใน Russia ก็ตั้ง Electronic Currency ขึ้นมาอีกต้วด้วยชื่อว่า Liberty Reserve (LR)

ผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน คู่แข่ง E-gold ในยุคนั้นอย่าง Perfect Money, Alert Pay, Alter Gold, SolidTrustPay ก็สู้ความนิยม Liberty Reserve ไม่ได้ ด้วยภาพที่ว่า Server อยู่นอกอำนาจควบคุมของ FBI บรรดาผู้ใช้งานที่ต้องการโอนเงินข้ามชาติโดยไม่ต้องแสดงตัวตนก็เฮโลกันไปใช้งาน ซึ่งก็เป็นอาชญากรรมข้ามชาติเช่นเดิม

แต่ต่อมาช่วงหลังๆ Server ล่มบ่อยมาก ด้วยคำอ้างที่ว่าคนใช้งานเยอะ แต่ในที่สุดก็เป็นที่รู้กันว่าเริ่มอยู่ไม่ได้ เจ้าของ LR นั้นร่ำรวยมากด้วยค่าธรรมเนียมโอนเงินจำนวนมหาศาล ต้องเดินทางไปประเทศต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าเดินทางผ่านประเทศที่ FBI มีข้อตกลงกัน เลยถูกจับจนได้ Server ก็เลยล่ม ย้ายไปประเทศไหนก็ไม่ได้ต้องปิดตัวไปในที่สุด

ปัญหาอยู่ตรงการที่ต้องมี Central Server

ระบบ Electronic Money แบบเดิมๆนั้นจะต้องมีการสอบทานยอดเงินกับ Server ส่วนกลางเพื่อดูว่ายอดเงินคงเหลือเท่าใด มีเงินคงเหลือพอที่จะโอนได้หรือไม่ นึกถึงตู้ ATM บ้านเรา จะถอนเงินได้นั้นจะต้องมีการเชื่อมโยงเข้าสู่คอมพิวเตอร์ส่วนกลางของสำนักงานใหญ่

วันใดที่ server ล่ม ทุกคนทั่วประเทศก็จะไม่สามารถถอนเงินได้ การแยกระบบให้อิสสระเป็นหน่วยย่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดปัญหายอดเงินไม่เป็นปัจจุบันได้ เลยต้องมีระบบ server ส่วนกลาง

ปัญหาของระบบนี้ก็คือ หากใครรู้ว่า server ส่วนกลางอยู่ไหน ก็อาจจะถูกโจมตีได้ง่ายๆ หรืออาจจะถูกปิดกั้นการสื่อสาร โดยบริษัทสื่อสารถูกกดดัน หรือหากไปวางไว้ในประเทศที่ไม่ขึ้นกับใคร ประเทศที่เชื่อมโยงข้อมูลก็อาจจะถูกอเมริกากดดันไม่ให้รับส่งข้อมูล สุดท้าย Electronic Currency นั้นก็ล่มอยู่ดี

Crypto Currency ไม่ต้องอาศัย Server ส่วนกลาง

จากปัญหาข้างต้น กลุ่มที่ต้องการอิสระ ไม่อยากโดนประเทศมหาอำนาจครอบงำ ก็พยายามคิดค้นหลากหลายวิธีในการที่ไม่ต้องอ้างอิง server ส่วนกลาง ก่อนหน้านี้ก็มีระบบ Token หรือนึกง่ายๆ คือการมีมูลค่าของเงินในตัวเองเช่นการใช้ธนบัตร หรือเหรียญอิเลคทรอนิกส์โอนเงิน แทนการโอนเงินในบัญชี เนื่องจากธนบัตรหรือเหรียญนั้นจะมีมูลค่าในตัวเอง

แต่ด้วยลักษณะข้อมูลดิจิตอลที่มีการปลอมแปลงได้ง่าน เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีแค่เลข 0 กับ 1 เลยเกิดปัญหาเหรียญต้นกำเนิดอันเดียว แต่ถูกส่งไปปลายทาง 2 เหรียญ อันนึงเป็นของปลอม อีกอันเป็นของจริง ซึ่งสุดท้ายก็แยกกันไม่ออก

นี่คือที่มาของ Crypto Currency ที่ไม่ต้องอาศัย Server เป็นศูนย์กลาง แต่อาศัยการบันทึกข้อมูลการส่งเงินจากผู้จ่ายและผู้รับไปในบล้อคของข้อมูลเป็นทอดๆ และแฝงรหัสเข้าไปด้วย ทำให้เรารู้ว่าไม่มีเหรียญปลอมออกมาแน่นอน เพราะทุกอย่างสามารถสืบไปยังเส้นทางต้นต่อได้ว่ามีเงินโอนผ่านมือมากี่ทอด

ข้อมูลการโอนเงินจากใครไปหาใคร จำนวนเท่าไหร่ วันที่เท่าไหร่ เหล่านี้เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาล ทุกขั้นตอนมีการเข้ารหัสเป็นทอดๆ (Block Chain) และทุกคนก็มีหน้าที่ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์นี้เพื่อยืนยันการโอนเงิน (Mining) คนที่แก้ปริศนานี้ได้ก่อนก็จะได้รางวัลตอบแทน

ระบบ Crypto Currency ตัวแรกๆก็คือ BitCoin ซึ่งเมื่อเป็นที่รู้จักก็จะเริ่มมีการใช้งานกันแพร่หลาย ไม่ต้องระบุตัวตน หา Server ส่วนกลางไม่เจอ จะไปตามปิด server หรือหาเจ้าของคนที่บริหารจัดการก็ไม่ได้ ทุกคนยอมรับกันเองว่าจะให้มูลค่ามันเท่าไหร่

แก้งค์อาชญากรรมข้ามชาติก็สนุกกันละครับทีนี้ เพราะปิดระบบเขาไม่ได้แน่นอน ไม่ต้องระบุตัวตนด้วย คนที่ประเทศ A ต้องการส่งเงินไปประเทศ B ด้วยธุรกิจผิดกฏหมาย ก็ตั้งตัวเป็นคนรับซื้อ BitCoin ที่ประเทศ A พอได้มาครบ ก็ส่งไปยังคนที่ประเทศ B ซึ่งคนในประเทศ B ก็หาช่องทางขายเปลี่ยนเป็นเงินสดอีกที (ผ่านธุรกิจถูกฏหมายอื่นๆ)

ราคา BitCoin ก็เลยเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะยิ่งกระบวนการโอนผ่านไปหลายทอด การแก้สมการก็ยิ่งยาก ใช้เวลานานขึ้นราคา 1 BTC จากแค่ไม่กี่ USD กลายไปแตะหลักหมื่น USD ด้วยเวลาไม่กี่เดือน และมีแนวโน้มทะยานไปเรื่อยๆ และจะผันผวนตามความต้องการของตลาด

คราวนี้ Crypto Currency เป็น Software ที่เปิดเผย ใครๆก็เริ่มเอามาใช้งานได้สบายๆ แค่ตั้งชื่อเอาตามใจชอบ เลยเกิด Coin หลากหลายรูปแบบขึ้นมา ชื่อไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน แต่ความนิยมในการใช้งานก็อยู่ที่การโปรโมท ซึ่งก็ต้องบอกว่าลูกค้ากลุ่มไหนหละครับที่ต้องการใช้สกุลเงินที่ไม่ระบุตัวตน หรือไม่ต้องมี server ส่วนกลาง

อย่าไปนึกว่า Crypto Currency มันจะเป็นเรื่องอินเทรน ไม่ใช้ไม่เทห์หรอกนะครับ แต่จริงๆแล้ว ความนิยมมันมาจากธุรกิจเทาๆ มืดๆ มากกว่า เอาแค่บ้านเราเรื่องสลากกินแบ่งบนดินก็มี ใต้ดินก็มี ระบบการไหลของเงินในธุรกิจข้ามชาติบนดินก็มี ใต้ดินก็ต้องอาศัยการขนเงินสด ทองคำ หรือ Crypto Currency นั่นเอง ดีแล้วที่ ธปท สั่งห้ามธนาคารไทยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะความซับซ้อนมันเยอะ ธนาคารควรดำเนินเรื่องการโอนเงินแบบเปิดเผยโปร่งใสถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

เรียบเรียงด้วยประสบการณ์ตรง อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้ แต่ต้องอ้างอิงที่มาคือที่ Thaimoneyadvice.com นะครับ

Leave a comment