คลิ้กเลย!! เทพแห่งเงินด่วน โทร 0928840418 <- จิ้มที่ตัวเลขแล้วกดโทรเลย

News Ticker

จะซื้อประกันชีวิตแบบไหนดี ที่คุ้มค่าที่สุด pantip

คำถามโลกแตกสำหรับคนอยากซื้อประกันชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังโดนตามตื้อจากพนักงานขายประกันไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านเทเลเซลก็ตาม

เพราะคำถามคือ จะซื้อประกันชีวิตแบบไหนดี ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ซื้อ หรือพูดง่ายๆจ่ายเบี้ยน้อยๆแต่ได้ผลประโยชน์เยอะที่สุด วันนี้เรามาดูประเด็นสำคัญกันนะครับว่าควรจะเลือกซื้อประกันอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวคุณที่สุด

ท่านกำลังมองหาประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพกันแน่

เวลาพูดถึงประกันชีวิต หลายคนจะมองถึงสิทธิประโยชน์ในด้านการรักษาพยาบาลตลอดช่วงอายุกรรมธรรม์ รวมไปถึงเงินก้อนพร้อมผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้รับเมื่อประกันครบกำหนด ซึ่งมาจากการเสนอขายของตัวแทนประกันชีวิต ที่พยายามนำเสนอผลตอนแทนต่างๆที่จะได้รับตลอดช่วงการเอาประกัน

แต่ตัวท่านเองเท่านั้นทีควรจะรู้ตัวเองว่า ต้องการซื้อประกันเพราะอะไร ท่านซื้อประกันเพราะต้องการประกันสุขภาพเป็นหลัก หรือมองถึงผลตอบแทนในระยะยาวเป็นหลักกันแน่

นั้นคือท่านกำลังมองหาหลักประกันสุขภาพเป็นหลัก เพื่อการรักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วยโดยไม่ต้องใช้เงินเก็บของตัวเอง และหากอยู่จนครบระยะเวลาเอาประกันก็จะได้เงินคืนมาบ้าง

หรือท่านกำลังมองหาประกันสุขภาพเหมือนข้างบน แต่ระหว่างนั้นก็ต้องการผลตอบแทนเป็นระยะๆ และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเอาประกันท่านก็จะได้รับผลตอบแทนในลักษณะเหมือนการออมเงินระยะยาวด้วย

ถ้าเป็นอย่างแรกนั่นหมายถึงว่าท่านกำลังมองหาประกันสุขภาพเป็นหลัก ส่วนอย่างหลังท่านกำลังมองหาหลักประกันในชีวิต พร้อมผลตอบแทนตอนบั้นปลาย ซึ่งต้องขอว่าหากท่านกำลังคิดจะซื้อประกันเหมือนการลงทุนแล้วละก็ ท่านกำลังคิดผิดอย่างมากเลยทีเดียว

ประกันชีวิตไม่ใช่การออมที่ดี

เคยมีอยู่ครั้งนึงผู้เขียนไปนั่งร้านนำ้ชาละแวกบ้าน พบว่ามีนักขายประกันมือสมัครเล่นมาชักชวนคนสูงอายุว่า สนใจฝากเงินไหมได้ผลตอบแทน 4% ต่อปี ซึ่งก็สร้างความฮือฮาพอสมควร เพราะดอกเบี้ยเงินฝากประจำตอนนั้นก็อยู่ที่ราวๆไม่เกิน 2% ต่อปี

แต่พอถามไปถามมาเขาก็อ้อมแอ้มว่าต้องฝากยาวๆหน่อยนะ ฝากอยู่ 5 ปี 7 ปี ถึงจะถอนเงินต้นได้ หรือบางเงื่อนไขกว่าจะได้เงินคืนหมดก็ปีที่ 15 โน่น

ฟังดูแล้วมันคือประกันชีวิตนี่หว่า หรือพูดง่ายๆมักจะเป็นประกันชีวิตที่ธนาคารชอบเป็นตัวแทนขายให้กับบริษัทประกันภัยอีกที โดยมีการสร้างตารางผลตอบแทนให้ดูน่าสนใจ ได้ผลตอบแทนคืนปีละ 3 – 4% ของวงเงินประกัน มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากเห็นๆ แต่จะต้องจ่ายทุกปีและกว่าจะได้เงินคืนทั้งหมดก็ต้องรออย่างน้อย 10 ปี

ว่ากันจริงๆแล้ว มันไม่ใช่เงินฝากที่เรารู้จักแต่อย่างใด เพราะเงินฝากไม่ว่าจะออมทรัพย์หรือฝากประจำ เราสามารถถอนเงินต้นคืนได้เต็มจำนวนตลอดเวลา ถ้าเป็นเงินฝากประจำอาจจะเสียสิทธิ์เรื่องดอกเบี้ยที่ยังไม่ครบกำหนดไปบ้าง แต่ต้องบอกว่าได้เงินต้นคืนครบทุกบาททุกสตางค์แน่นอน ไม่ว่าจะฝากไปแค่ 1 วันก็ตาม

แต่ประกันที่นำเสนอว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากนั้น เมื่อได้รับกรรมธรรม์แล้ว และเลยระยะ 15 วัน (Grace Period) ไปแล้ว พอจะไปถอนเงินนั้นออกมาจะได้คืนมาไม่ถึงครึ่ง อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเงินฝาก เขาเรียกว่าประกันนั่นเอง

ว่ากันในเชิงผลตอบแทนแล้ว หากมองว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงแล้ว ต้องขอบอกว่าไม่ใช่การลงทุนที่ดีเลย

ตัวอย่างประกันที่นำเสนอขายผ่านช่องทางธนาคาร

เราลองมาดูตัวอย่างคร่าวๆของประกันลักษณะหนึ่งที่มีการนำเสนอขายผ่านธนาคารแห่งหนึ่ง วงเงินประกัน 100,000 บาท ชำระเป็นระยะเวลา 7 ปี คุ้มครองเป็นระยะเวลา 15 ปี

จำนวนเงินที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี = 27,200 บาท/ปี

รวม 7 ปี จ่ายเงินทั้งสิ้น = 190,400 บาท

ผลประโยชน์ที่จะได้รับระหว่างเอาประกัน
– ปีที่ 1-5 ได้คืน 3% ของทุนประกัน 100,000 บาท = 3,000 บาท x 5 ปี = 15,000 บาท
– ปีที่ 6-10 ได้คืน 4% ของทุนประกัน 100,000 บาท = 4,000 บาท x 5 ปี = 20,000 บาท
– ปีที่ 11-15 ได้คืน 5% ของทุนประกัน 100,000 บาท = 5,000 บาท x 5 ปี = 25,000 บาท

รวมผลตอบแทนระหว่างเอาประกัน 60,000 บาท
เมื่อครบระยะเวลาเอาประกัน 15 ปี ได้เงินคืนมาอีก 185,000 บาท

รวมผลตอบแทนทั้งสิ้น 60,000 + 185,000 = 245,000 บาท

เท่ากับว่าจะได้รับผลประโยชน์ 245,000 – 190,400 = 54,600 บาท

คิดแบบคร่าวๆ ระยะเวลา 15 ปี ได้ผลตอบแทนปีละ 3,640 บาท

ลองคิดเล่นๆ เอาเงิน 190,400 ไปลงทุนให้ได้กำไรปีละ 3,640 บาท เทียบได้กับผลตอบแทนที่ 1.91% ต่อปีแบบไม่ทบต้น แน่นอนว่าผลตอบแทนที่ได้น้อยนิดนี้เนื่องจากผลประโยชน์ส่วนหนึ่งนั้นออกมาในรูปของการประกันชีวิตไปแล้ว

หากเราสะสมเงินให้ครบ 7 ปีได้ 190,400 บาท ฝากเงินดังกล่าวไว้ต่ออีก 8 ปีได้ผลตอบแทนแค่ 2% ต่อปี ก็จะได้ผลตอบแทนรวม 30,000 กว่าบาทเข้าไปแล้ว แถมยังถอนเงินมาใช้ได้ตลอดเวลา หรือพูดง่ายๆว่าสภาพคล่องเหลือเฟือ

แต่หากไปซื้อประกันลักษณะนี้ แน่นอนว่าได้หลักประกันตามเงินที่จ่ายไป เช่นปีที่ 4 จ่ายไป 1 แสนกว่าบาท ได้ความคุ้มครอง 1 แสน ฝากไป 7 ปีเกือบ 2 แสน ได้ความคุ้มครอง 2 แสน แต่สภาพคล่องไม่มี จะได้เพียงเงินเล็กๆน้อยๆในแต่ละปีกลับมาเท่านั้น และต้องรออีก 8 ปีกว่าจะได้เงินกลับคืนมาทั้งก้อน

แล้วยิ่งหากมีการคิดคำนวนเงินเฟ้อเข้ามาด้วยแล้ว โดยการลองประมาณการเงินเฟ้อย้อนหลังจาก ดัชนีเงินเฟ้อย้อนหลังของไทย เพื่อทำนายอนาคตข้างหน้า ท่านจะพบว่า เงินจำนวน 245,000 บาท ที่ท่านจะได้รับในอนาคต 15 ปีข้างหน้านั้น จะมีมูลค่าเพียงประมาณ 171,500 บาท เท่านั้น (หมายเหตุ:ดัชนีเงินเฟ้อย้อนหลัง 15 ปีของไทยเปลี่ยนจาก 70 >> 100)

หรือพูดง่ายๆ จ่ายเงินไป 190,400 บาท ผ่านไป 15 ปี ได้เงินคืนมา แต่ความสามารถในการซื้อลดลงไปจนกลายเป็นขาดทุน หากปีไหนในระหว่างเงินเฟ้อสูงขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งขาดทุนหนัก แต่การนำเงินดังกล่าวไปลงทุนอย่างอื่นอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อได้

หากต้องการออมเงิน ไม่ควรออมเงินด้วยการทำประกันชีวิต

จากตัวอย่างข้างต้น หากท่านต้องการความมั่นคงในชีวิตให้กับลูกหลาน ก็สมควรที่จะซื้อประกันชีวิตให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคุณ

แต่หากคิดว่าการซื้อประกันชีวิตคือการออมเงินแบบหนึ่ง ซึ่งแม้จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก็จริง แต่หักลบกับเงินเฟ้อแล้วท่านแทบจะไม่เหลืออะไร แถมยังไร้สภาพคล่องเป็นอย่างมาก หากต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสดก็ต้องกู้ยืมเงินจากมูลค่าของกรมธรรม์มาซึ่งดอกเบี้ยอยู่ที่อัตราประมาณ 7 – 8% ในยุคที่ MLR อยู่ที่ประมาณ 6% เท่านั้น

การซื้อประกันที่เหมาะสมจึงควรเป็นประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองที่เหมาะสม โดยไม่ต้องไปมองถึงผลตอบแทนทางการเงินที่จะได้รับมากนัก เพราะคงไม่มีบริษัทประกันไหน นำเสนอข้อมูลที่แท้จริงได้เท่ากับที่เราได้นำไปเสนอข้างบนหรอกนะครับ

Leave a comment